บทสรุป SEO NIDA UBI 2022
วันนี้ก็เหมือนเคย.. อยากจะมาสรุปเนื้อหา การบรรยาย SEO NIDA BUI 2019 ให้ได้อ่านกัน หวังว่าบทความนี้คงจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ
หัวข้อ นิวจะนำมาจากพี่ Suphathanat Namkhot Note เอาไว้อีกทีนะครับ
Rank ไหน จะมีคนเข้ามากที่สุด ?
ตามสถิติเลย 1,2,3 คนจะเข้าพอๆ กัน ไม่แตกต่างกันมาก ส่วนอันดับ 4-10 จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงครับ
ในกรณี ถ้าอยากอันดับดี หรือ อยากให้คนคลิกเยอะ แนะนำให้ไปเขียนหัวข้อให้น่าคลิ๊ก ให้น่าสนใจ เพิ่ม CTR ให้กับเว็บ ” หรือ ติดดาว ” เพื่อเพิ่มค่าความน่าสนใจให้กับเว็บไซต์ !!
CTR คือ จำนวนคลิกที่โฆษณาได้รับหารด้วยจำนวนครั้งที่โฆษณาปรากฏ หรือก็คือ คลิก ÷ การแสดงผล = CTR เช่น หากคุณได้รับคลิก 5 ครั้งและมีการแสดงผล 100 ครั้ง CTR จะเท่ากับ 5%
รูปภาพประกอบ สำหรับเว็บที่ทำการติดดาว
เห็นไหม ว่าการเพิ่มดาวให้กับเว็บไซต์ ถือว่าเป็นจุดเด่นอย่างมากเลย แต่ถ้าหากว่าใคร ติดดาวไม่เป็น แนะนำเลย Yet Another Stars Rating สำหรับ WORDPRESS เท่านั้นนะ
รูปภาพประกอบ สำหรับการเขียนหัวข้อเพื่อเพิ่มค่า CTR
รูปภาพนี้เป็นเพียงตัวอย่าง ในการเขียน Title ให้มีความน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้นนะครับ ยิ่งเราเขียนให้มีความน่าสนใจมากเท่าไร ยิ่งมีผลต่อการคลิ๊กมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
แต่สิ่งที่สำคัญเลยก็คือ จะต้องมี Keyword เสมอ ไม่จำเป็นต้องอยู่ข้างหน้าเสมอไปก็ได้ อาทิเช่น เคล็ดลับ สอน SEO ให้ได้ที่ 1 โดยไม่ต้องใช้โชคช่วย เป็นต้น
ความยาวในการเขียน Content เท่าไรดี ?
ถ้าเป็นของผม ก็หลายนิ้วอยู่นะ เอ้ย.. หลายบรรทัดอยู่นะ ปัจจุบันนี้ นิวจะจ้างเขียนบทความอยู่ที่ประมาณ 1500 – 1700 คำ อันนี้ก็แล้วแต่ คู่แข่งด้วย
ถ้าหากเจอแบบ ยากหน่อย ก็จะเขียนเยอะหน่อย ( อันนี้ไม่ใช่ยิ่งเยอะยิ่งดีนะ ) เอาแบบว่ามีประโยชน์ อย่าใช้คำฟุ่มเฟือยเยอะ ถ้าหากว่าเนื้อหามันเยอะเกินไป ก็ แบ่งเป็น EP 1 , EP 2 , EP 3
แล้วที่สำคัญ อย่าลืมเขียนบทความให้ GOOGLE ชอบด้วยละ ไม่อย่างงั้นทำให้ตายยังไงก็ไม่ติด และที่สำคัญ Keyword Density ควรมีประมาณ 2-3% นะครับ
Keyword Density คืออะไร ? KD = คือการกระจายตัวของ คีย์เวิด ในบทความนั้นๆ ในกรณีที่ใส่มากเกินไป ก็จะกลายเป็นสแปม อันดับตก ในกรณีใส่น้อยเกินไป บทความก็จะไม่มีน้ำหนักพอ ที่จะทำให้ GG เชื่อว่าเนื้อหาบทความเราเกี่ยวกับอะไร
พอไม่รู้ว่าเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร ทีนี้อันดับก็จะไม่ดี (ดังนั้นเรื่องนี้สำคัญมาก จงเอาใส่ใจกับมัน ให้มาก )
Keyword Density (KD) วัดจาก เครื่องมือที่ชื่อว่า SEOquake
อ่านเพิ่มเติม : วิธีการเขียนบทความที่ทำให้ GOOGLE หลงรัก
เทียบ UX UI สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้
หลายคนอาจจะงง ว่าไอคำว่า UX UI เนี่ยมันคืออะไร ? เดียวเรามาทำความรู้จักกันทีละตัวกันเลยดีกว่า ..
User eXperience
หรือที่เรียกว่า UX คือ ประสบการณ์ของผู้ใช้งาน ถึงแม้จะสวย แต่ใช้งานไม่ได้ดี ก็จบ !!
ดังนั้น ออกแบบเว็บให้ใช้งานแบบง่ายๆ เรียบหรู เน้นความเป็นจริง
User Interface (UI) ที่ซึ่งจะหมายความถึงความง่าย ความยากในการใช้งานของผู้ใช้งาน
อาทิเช่น เมนู ฟอร์มต่างๆ การวางภาพ ขนาดตัวอักษร ปุ่ม เป็นต้น ที่ถ้าหากจัดออกมาได้อย่างเป็นระบบและมีความเรียบร้อยก็สามารถที่จะนำมาใช้งานได้อย่างดี
ตัวอย่าง สวย แต่ใช้งานไม่ได้จริง
สิ่งสำคัญสำหรับ UI ก็คือดีไซน์ที่ดูสะอาด สวยงาม ดึงดูดใจ อีกทั้งยังจะต้องเข้าใจง่าย ใช้งานและดูเป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน
= พูดกับแบบรวมๆเลยก็คือ สร้างเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย รวมถึงการสร้างประสบการณ์ที่ดี ให้กับ ผู้ใช้งาน ใช้งานง่าย สะดวก สดใส
Google Ads มีกี่ตำแหน่ง
การลงโฆษณากับ GOOGLE โดยตรง จะมีอยู่ทั้งหมด 7 ตำแหน่ง
ข้างบน 4 ตำแหน่ง ข้างล่างอีก 3 ที่ รวมทั้งหมด = 7 ตำแหน่ง
ส่วนตำแหน่ง ที่ 9-1,000 จะไปแสดงโฆษณาแบบ (Google Display network ) หรือเรียกสั้นๆว่า GDN
เผื่อใครยังไม่รู้จัก Google Display Network (GDN) อ่านบทความนี้
ข้อดีของ Google Ads
มีเงิน มีเว็บ ลงได้ทันทีไม่ต้องรอ setup campaign ก็ขึ้นได้เลย
• สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายให้ตรงกับตลาดของคุณได้
• เงินลงทุนเริ่มต้นสามารถกำหนดได้เอง จะจ่ายเท่าไรก็ได้
• มีความยืดหยุ่นสูง เปลี่ยนข้อความโฆษณา ได้ตลอดเวลา
ข้อเสียของ Google Ads
• ถ้าเว็บ หรือ เพจ ไม่มีดี โฆษณาอาจจะออกมาไม่มีคุณภาพ ( ไม่รองรับมือถือ เว็บเข้าช้า ออกแบบ UX UI ไม่ดี )
• การคอนโทรลคีย์เวิร์ดรักษาอันดับไม่ได้ เปลี่ยนตลอดเวลา
• โฆษณาของคุณพร้อมหายได้ทุกวินาที ถ้างบหมด ก็ ปริวหายไปกับตา !
• ในกรณี set มั่ว set ไม่ดี งบอาจจะบานปลาย และเสียค่าคลิกแพงกว่าที่ควรจะเป็น 3-10 เท่า
สามารถทำให้ ราคา Google Ads ถูกลงได้ไหม ?
ตอนแรก Google Ads มักจะคิดราคากับ เราแพงอยู่เสมอ เพราะว่า เขายังไม่สามารถกลั่นกองได้ทันทีว่า เนื้อหาที่เรามีเนี้ย มันเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือไม่
หลังจากนั้นไม่นาน ทาง Google Ads ก็จะค่อยๆศึกษาข้อมูลของเพจเรา ว่า.. มันเกี่ยวข้องกับสินค้าจริงหรือไม่ ถ้าหากว่าเกี่ยว ราคาก็จะถูกลง
คะแนนเพจ จะมี 1/10 ยิ่งได้คะแนน เต็ม 10 ราคาก็จะถูกลงอย่างมาก ส่วนระยะเวลานั้น ต้องขึ้นอยู่กับ Google Ads ไม่สามารถบอกได้ว่า จะเพิ่มคะแนนเราตอนไหน
การทำ SEO < ติดแบบธรรมชาติ
ข้อดี
เหนือกว่าธุรกิจเดียวกัน (ทำเลดีกว่า) , ตรงกบุ่มเป้าหมาย สามารถเปิดได้หลายๆ สาขา จะเปิดกี่เว็บก็ได้ ไม่มีใครกำหนดไว้
ข้อเสีย
ไม่รู้ว่าติดตอนไหน ไม่แน่นอนของอันดับ เปลี่ยนได้ตลอดเวลา
GOOGLE ทำงานอย่างไร ?
1.การเก็บข้อมูล (Crawl)
Google : จะทำการส่งหุ่นยนต์ หรือ ที่คนในวงการ SEO เรียกกันว่า Google bot ไปรวบรวมข้อมูลตามเว็บไซต์ต่างๆ
และนำกลับมารายงานให้ Google ทราบ
( Googlebot ไม่ใช่ตัวจัดอันดับนะ หลายๆคนอาจจะเข้าใจผิด )
2.จัดทำดัชนี (Indexing)
พอ GOOGLE ได้ข้อมูลมาแล้ว หลังจากนั้นก็จะทำการวิเคราะห์ หน้าเพจ หรือ หน้าโพสนั้น ๆ ว่า
มันเกี่ยวข้องกับ คีย์เวิดอะไร พอเข้าใจแล้ว ก็จะเอาไปเก็บไว้ในฐานข้อมูลส่วนกลาง
3.ประมวลผลจัดอันดับ (Ranking & Result)
เมื่อมีคนเข้ามาค้นหาข้อมูล ทาง Google ก็จะดึงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องหรือ ที่เคยทำดัชนี เอาไว้มาแสดง จะอันดับดี หรือ ไม่ดี ก็ขึ้นอยู่กับ เนื้อหา และ ความน่าเชื่อถือของแต่ละเว็บไซต์ นั่นเอง